|
ทุกวันนี้เราดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความแตกต่าง ความหลากหลายในวิธีคิดและวิถีชีวิต เราจะอยู่กับความแตกต่างอย่างเป็นสุขและสร้างสรรค์ได้อย่างไร ใครคนหนึ่งเคยเปรียบเปรยว่า จะมองดูพรรณไม้ในป่า ความหลากหลายของมันอิงอาศัยเกื้อกูลกันในการดำรงชีวิต ทั้งโลกของแร่ธาตุ, พืช, สัตว์ในธรรมชาติต่างเป็นตัวอย่างอันงดงามในการอยู่ร่วมกันทามกลางความต่างอย่างสร้างสรรค์และสมดุล
มนุษย์เรามีความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วิถีวัฒนธรรม ทว่าที่สุดแล้วลึกลงไปในใจ เราล้วนมีความปรารถนาความสุขสงบเช่นเดียวกันทุกคน หากเรามองมนุษย์จากมุมของบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ (People with special needs หรือกลุ่มบุคคลที่มีการเรียนรู้ต่างจากบุคคลทั่วไป อาทิ กลุ่มที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม ออทิสติก สมองเสื่อม พาร์เดอร์วิลลี่ ฯลฯ) เราคงสัมผัสได้ถึงความหลากหลาย ความแตกต่าง ความเฉพาะเจาะจงในทักษะบางด้าน ความต่างอันน่าอัศจรรย์ในมิติแห่งความคิด ความรู้สึก และการกระทำ ซึ่งทำให้หลายครั้งเราอดมิได้ที่จะตั้งคำถามว่า นิยามแห่งความเป็นมนุษย์สิ้นสุดลงตรงไหน เรากำลังมองอะไร ตัดสินอะไรจากมุมมองแคบๆ การรับรู้แคบๆ ของเราหรือเปล่า
ความพิเศษ (ที่บางครั้งแสนวิเศษ) ความบริสุทธิ์ ตรงไปตรงมา ปรากฏเป็นทั้งปริศนาที่ท้าทาย และของขวัญอันล้ำค่าที่โดดเด่นสุดขั้ว ซึ่งได้รับการประเมินคุณค่าในเชิง “ด้อย” “บกพร่อง” ด้วยค่านิยมกระแสหลักซึ่งแสดงออกผ่านชื่อเรียกกลุ่มอาการ อีกทั้งภาพลักษณ์จากสื่อสาธารณะที่สร้างมายาภาพอย่างฉาบฉวย เชิงขบขัน ล้อเลียน หรือความพิเศษที่ตกเป็นเหยื่อในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่หวังผลเชิงธุรกิจ
สังคมไทยทุกวันนี้มีบุคคลที่มีความต้องการพิเศษเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับสังคมโลก เราควรตื่นตัวที่จะทำความรู้จัก ศึกษาเรียนรู้ เพื่อเปิดประตูไปสู่ความเข้าใจในความต่าง สัมผัส สัมพันธ์ แต่ไม่ตัดสิน ช่วยกันสร้างมิติใหม่ มุมมองใหม่ ที่พ้นไปจากการตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์เพียงมิติทางเชาวน์ปัญญา และความสามารถในการแข่งขันในระบบการเรียนรู้กระแสหลัก เพราะคุณค่าความเป็นมนุษย์มีความหมายลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนกว่านั้นมากนั้น ทุกๆ คน คือ พืชพรรณในป่าใหญ่ซึ่งสร้างความอุดมสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพ อารมณ์ ความรู้สึก และยกระดับจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าบุคคลที่มีความต้องการพิเศษจะเป็นลูกของเรา ลูกศิษย์ของเรา คนไข้ของเรา คนในซอยบ้านเรา แท้จริงแล้วเขาเหล่านั้น คือลูกหลานของเรา คืออนาคตของสังคมไทยและสังคมโลก คือบุคคลที่จะร่วมสร้างอนาคตไปกับพวกเรา พวกเขา คือบุคคลที่มา “เปิดหัวใจ” ของเราให้ได้สัมผัสความเมตตากรุณา ความดีงามในตัวเรา และสอนให้เราได้มองเห็นความงดงามภายในที่ต้องใช้เวลาเพ่งพินิจด้วยความอดทน ด้วยใจที่เปิดกว้าง พวกเขาเป็นครูทางจิตวิญญาณของพวกเรา เขามาเพื่อ ปลุก ปรับ เปลี่ยนมุมมองชีวิตของเรา ให้ออกมาก้าวเดินกับพวกเขา แม้เป็นก้าวช้าๆ ก้าวสั้นบ้างยาวบ้าง และหยุดก้าวบ้างในบางครา หากวันนี้เราพานพบพวกเขา เราควรถามตัวเองว่า เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปกับเขา บนหนทางแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน บนหนทางแห่งการ “ก้าวไปด้วยกัน"
|
|
|
|